หนี้นอกระบบระบาดหนักในอีสาน ชาวบ้านร้อยเอ็ดกว่า 30 คน ร้องโดนนายทุนยึดโฉนด จากการนำที่ไปจำนองแต่นายทุนทำเป็นขายฝาก ยอดหนี้พุ่งจนหมดปัญญาไถ่ถอน วอนนายกรัฐมนตรี ช่วย เพราะ บางรายเป็นหนี้รวมๆแค่ 2 แสน กลับกลายเป็นหนี้ กว่า 2 ล้าน ซึ่งต้องให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ซึ่งแทบจะไม่มีความหวัง เพราะที่ผ่านมาส่วนงานรัฐเข้าข้างนายทุนเข้ามาข่มขู่ลูกหนี้เข้าข้างนายทุน แทนที่จะช่วยเหลือประชาชน.. เพราะเคยร้องไปยังศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ กระทรวงยุติธรรม แต่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ

(4 ส.ค.) ที่โรงแรมเอ็มแกรนด์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด กลุ่มลูกหนี้นอกระบบในพื้นที่ภาคอีสานที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า 30 คน เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ “สร้างนวัตกรรมเครือข่าย จุดกระแสสังคมไม่ทนต่อการทุจริต” กลุ่มลูกหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ กองทุน ป.ป.ช. เพื่อสร้างเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันจุดกระแสสังคม ไม่ทนต่อการทุจริต
นายสุทธิรักษ์ อุฒมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสร้างนวัตกรรมเครือข่าย จุดกระแสสังคมไม่ทนต่อการทุจริต ของ ปปช. ผู้ดำเนินรายการ ระบุว่า ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่ภาคอีสาน มาอย่างยาวนาน โดยกลุ่มลูกหนี้ จะโดนหลอกลวงทำสัญญาจำนอง เป็นขายฝาก และทำเป็นขบวนการ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยการควบคุมการปล่อยกู้ในอัตราที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือข้าราชการบางรายรู้เห็นเป็นใจกลุ่มนายทุน ดังนั้น ลูกหนี้ส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ผ่านมาการร้องขอความเป็นธรรมของชาวบ้าน ไม่ได้รวมกลุ่มกันทำให้หน่วยงานแก้ปัญหามองภาพความเดือดร้อนไม่เห็นว่ามีผู้เดือดร้อนเป็นวงกว้าง การช่วยเหลือจึงไม่ทั่วถึง ดังนั้น อยากให้ประชาชนรวมกลุ่มกันเป็นภาคประชาสังคม ในการต่อสู้ร่วมกัน

ด้านนางธีระวรรณ์ พงเกษม ตัวแทนกลุ่มลูกหนี้ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เล่าว่าจุดเริ่มต้นในการเป็นหนี้นอกระบบ เพราไปกู้เงิน 30,000 บาทจากนายทุน และนำโฉนดที่ดินไปจำนองไว้กับนายทุนเพื่อค้ำประกัน ผ่านไป 6 เดือนจะเอาเงินไปไถ่ที่คืน แต่นายทุนแจ้งว่าขายที่ดินไปแล้ว สุดท้ายมาทราบภายหลังว่าสัญญาที่ทำไว้กับนายทุนตั้งแต่แรกไม่ใช่สัญญาจำนอง แต่เป็นสัญญาขายฝาก เมื่อไม่มีทางออกเลยไปกู้เงินจากนายทุนรายอื่นมาไถ่ที่คืน แต่โดนโกงในลักษณะเดียวกัน จนเป็นหนี้นายทุนทั้งหมด 3 ราย รวม 400,000 บาท ซึ่งยอดเงินที่ได้มาไม่ตรงกับความเป็นจริง ซ้ำยังโดนเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่ากฎหมายกำหนด สุดท้ายเมื่อนำเงินมาไถ่คืนไม่ได้ จึงโดนยึดโฉนดที่ดินรวม 4 ฉบับ และถูกดำเนินคดีจนติดคุกติดตารางมาแล้ว

***นายมณีรัตน์ แสนปรางค์ อดีตกำนัน ต.รอบเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เล่าว่า เป็นหนี้นอกระบบจากการกู้ 1 ล้านบาท แต่ในสัญญาระบุยอดหนี้ 1.5 ล้านบาท โดยมีที่ดินไปค้ำประกัน และต่อมาก็ไม่สามารถใช้หนี้ตามยอดดังกล่าวได้ ทำให้ที่ดินตกเป็นของนายทุน โดยสาเหตุที่ยอมทำสัญญามากกว่าเงินที่ได้รับเพราะอยากได้เงิน ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบเดียวกันคือนายทุนเสนอเงินให้เยอะก็อยากได้ คิดว่าตัวเองจะมีกำลังจ่ายหนี้ แต่สุดท้ายก็หามาจ่ายไม่ได้ เวลานี้ได้ยื่นร้องเรียนไปที่ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าหน้าที่
ส่วนตัวมองว่าทางออกสำหรับเรื่องนี้คือให้ภาครัฐเจรจาขอซื้อที่ดินคืนจากนายทุน และให้ลูกหนี้ผ่อนชำระในระยะยาว จะทำให้ชาวบ้านได้ที่ดินกลับมา มีขวัญและกำลังใจในการทำงานใช้หนี้ โดนมองไม่เห็นใครจะช่วยได้ นอกจากนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

***ส่วนนางจันศรี นุศาสตร์เลิศ ลูกหนี้จาก อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด บอกว่า ที่ต้องตกเป็นหนี้นอกระบบเพราะต้องการเงิน 60,000 บาท ไปจ่ายค่าเทอมลูก เเต่เนื่องจากที่ดินติดจำนองกับ ธกส. จำนวน 400,000 บาท และไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีก เป็นเวลาเดียวกันกับพี่สาวต้องการใช้เงิน 10,000 บาทไปไถ่ที่ไม่เช่นนั้นจะโดนยึด จึงไปปรึกษานายทุน โดยนายทุนเสนอจะไปไถ่ถอนหนี้จากธกส.ให้เสนอให้กู้ 800,000 บาท แต่หลังจากกู้และไถ่ถอนที่มาแล้ว คงเหลือเงินเพียง 200,000 บาท เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน 6 เดือนนายทุนแจ้งราคาไถ่ถอนที่ 1,300,000 บาท มีการเจรจาโดยนายทุนยอมลดหนี้ให้ 300 บาท แต่ก็ยังไม่มีเงินไปไถ่ จนผ่านมาอีก 6 เดือน ไปติดต่อนายทุนก็ได้รับแจ้งว่าถ้าจะไถ่ที่คืน ต้องไถ่ในราคา 1,750,000 บาท ล่าสุดนายทุนประกาศขายที่ในราคา 2,550,000 โดยถ้าจะซื้อคืนต้องภายใน 31 ธ.ค.63 ไม่เช่นนั้นจะถูกขับไล่ออกไปจากที่ดิน เรื่องนี้ได้ร้องเรียนที่ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ที่ยังทุกข์ใจคือเกรงว่าจะไม่ได้เงินมาไถ่ถอนที่คืน จึงอยากให้ภาครัฐเร่งพิจารณาให้ความช่วยเหลือ
***นอกจากนี้ยังมีลูกหนี้อีกกว่า 30 รายที่โดนนายทุนเงินกู้นอกระบบหลอกลวงและฉ้อโกงในลักษณะเดียวกัน และจนถึงขณะนี้กลุ่มลูกหนี้ยังคงโดนทวงถาม บีบบังคับจากนายทุนเงินกู้ที่หลอกลวงทำสัญญาจากจำนองเป็นขายฝาก และยังไม่มีทางออก ในขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นกลับเพิกเฉยต่อความเดือดร้อน ไม่ให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที จึงต้องการให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

****ด้านนายสุทธิรักษ์ อุฒมนตรี กล่าวว่า การจัดเสวนาในวันนี้โดยสำนักงาน ป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช จัดสรรงบให้มีการดำเนินการ จัดประชุมเสวนา รับฟังปัญหาเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชน จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพื้นที่แรกที่นำชาวบ้านที่มีปัญหามาพูดคุยกัน เพื่อที่จะหาทางออกร่วมกัน รับฟังเสียงของชาวบ้านที่มีปัญหาเสนอไปสู่ภาครัฐ ให้หันมาตระหนัก ถึงปัญหาของชาวบ้าน เพราะในขณะนี้ประชาชนจำนวนมากกำลังถูกบังคับให้ออกจากที่ดินของตนเองหลังจากเอาไปจำนอง และ ถูกทำเป็นเรื่องขายฝากนั้น หลายคนครบกำหนดโดนยึดที่ และบางรายจะต้องถูกบังคับให้ออกจากที่ดินภายในสิ้นเดือนนี้ และบางรายก็จะ ต้องถูกบังคับให้ ออก จากที่ดินภายในสิ้นปี คือสิ้นเดือนธันวาคมนี้

ซึ่งพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดที่หนักที่สุด อำเภอเมือง อำเภอศรีสมเด็จ และอำเภอพนมไพร ซึ่งชาวบ้านบางรายนั้น ถูกนายทุนขับไล่ออกจากที่ดิน และนอกจากนั้นก็ยังถูกนายทุนแจ้งจับ ดำเนินคดี และถูกจำคุกจากการที่เข้าไปทำกินในที่ดิน ของตัวเอง ซึ่งก็เป็นปัญหาความเดือดร้อน ที่จะต้องเร่งเข้าไปเยียวยา โดยเร็วที่สุด ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ มีเคสที่ มีความชัดเจนที่สุด คือกรณีของนางธีระวรรณ พงเกษม ซึ่งอยู่ที่ อ.พนมไพร ได้นำเอาที่ ไปจำนองกับนายทุนเพียงแค่ 30,000 บาท แต่ยอดหนี้กลับ เพิ่มเป็นเท่าตัว กลับกลายเป็นหนี้ มากถึง 3 – 4 แสนบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเคสและเป็นกรณีตัวอย่าง ที่ทำให้ นางธีระวรรณ์ ต้องถูกจำคุก และดำเนินคดี และก็ต่อสู้ เนื่องจากตนเองไม่ได้รับเงินมาเต็มจำนวนหนี้ที่นายทุนกำหนดและร้องว่า ถูกนายทุนรังแก และถูกเอารัดเอาเปรียบ และพยายามจะต่อสู้ แต่ในที่สุด แม้นว่าตัดสินจำคุกไปแล้วหน่วยงานต่างๆก็เข้ามาช่วยเหลือจนคุณธีระวรรณ์ออกมา แล้วก็จะมาร่วมต่อสู้และเป็นแกนนำชุมชนชาวบ้านที่จะให้รวมเป็นเครือข่ายเพื่อที่จะสร้างเครือข่ายภาคประชาชนจะต่อสู้เรื่องของหนี้นอกระบบต่อไป
//////////
โชติกา ทวนชัยภูมิ/ภาพ/ข่าว
0956628047